Payment Gateway: Bank vs Non-Bank ต่างกันอย่างไร?

Featured image Payment Gateway: Bank vs Non-Bank ต่างกันอย่างไร?

เศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนโฉมวิธีการซื้อขายสินค้าและบริการไปอย่างสิ้นเชิง การชำระเงินออนไลน์กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างราบรื่น โดยมี “Payment Gateway” เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างลูกค้า ร้านค้า และสถาบันการเงิน ทำให้กระบวนการโอนเงินและตรวจสอบสถานะการชำระเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และไร้รอยต่อ

โดยทั่วไปแล้ว แหล่งข้อมูลได้จำแนก Payment Gateway (PG) ตามประเภทของ “ผู้ให้บริการ” ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ Payment Gateway แบบ Bank (ให้บริการโดยธนาคาร) และ Payment Gateway แบบ Non-Bank (ให้บริการโดยตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร) ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดเด่น เงื่อนไข และความเหมาะสมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจ ความต้องการด้านความปลอดภัย และเงินทุนที่มีอยู่

Payment Gateway แบบ Bank: ความมั่นคงสูง เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่

Payment Gateway ที่ให้บริการโดยธนาคาร คือระบบที่พัฒนาและดำเนินการโดยสถาบันการเงินโดยตรง ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบภายในของธนาคาร ทำให้มีความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในระดับสูง การตรวจสอบยอดเงินและการจัดการธุรกรรมทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งในบางกรณี ธุรกิจยังได้รับอัตราค่าธรรมเนียมต่อรายการที่ต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ Payment Gateway ประเภทนี้มักมาพร้อมกับ เงื่อนไขการใช้งานที่เข้มงวดกว่า เช่น การต้องมีเงินฝากค้ำประกันจำนวนมาก และขั้นตอนการสมัครที่ซับซ้อนกว่า เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

ตัวอย่างเช่น

  • Merchant iPay (ธนาคารกรุงเทพ): เงินค้ำประกันขั้นต่ำ 100,000 บาท ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 1,500 บาท และค่าธรรมเนียมรายปี 1,000 บาท
  • K-Payment Gateway (ธนาคารกสิกรไทย): เงินค้ำประกัน 200,000 บาท ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี
  • Krungsri Biz Payment Gateway (ธนาคารกรุงศรี): เงินค้ำประกัน 200,000 บาท ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 5,000 บาท ค่าธรรมเนียมรายปี 10,000–25,000 บาท

Payment Gateway แบบ Non-Bank: ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับธุรกิจ SME

Payment Gateway แบบ Non-Bank คือบริการที่ให้โดยผู้ให้บริการตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร จุดเด่นของประเภทนี้คือความ ยืดหยุ่นและคล่องตัว ทั้งในด้านการติดตั้ง การสมัครใช้งาน และค่าธรรมเนียมที่มักไม่ต้องใช้เงินค้ำประกัน นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับช่องทางการขายออนไลน์ได้หลากหลาย จึงเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ที่ต้องการเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและต้นทุนไม่สูง

ข้อจำกัดของ Payment Gateway กลุ่มนี้คือ ค่าธรรมเนียมต่อรายการที่มักสูงกว่า แบบธนาคาร และบางรายอาจรองรับเฉพาะสกุลเงินบาท ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีลูกค้าต่างประเทศมากนัก

ตัวอย่างผู้ให้บริการที่ได้รับความนิยม ได้แก่

  • PayPal: ระบบชำระเงินออนไลน์ที่ใช้กันทั่วโลก
  • GB PrimePay: ผู้ให้บริการสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
  • Omise (OpnPayments): นิยมในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดเล็กและกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • 2C2P: บริษัทผู้ให้บริการเกตเวย์จากสิงคโปร์
  • Pay Solution: รองรับช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย
  • KGP (Kasikorn Global Payment): เน้นความคล่องตัวและการรองรับช่องทางชำระเงิน เช่น Meta Pay

เปรียบเทียบ Payment Gateway: Bank vs Non-Bank

เมื่อพิจารณาในภาพรวมสำหรับธุรกิจในประเทศไทย การเลือกระหว่าง Payment Gateway ทั้งสองประเภทขึ้นอยู่กับ เป้าหมายและกลยุทธ์ของธุรกิจ เป็นสำคัญ

หัวข้อPayment Gateway แบบ BankPayment Gateway แบบ Non-Bank
ความน่าเชื่อถือ/ความปลอดภัยสูงมาก (เชื่อมตรงกับธนาคาร)สูง (ตามมาตรฐานสากล)
เงินค้ำประกันต้องมี (หลักแสนบาท)ไม่ต้องมี
ความยืดหยุ่น/การสมัครเงื่อนไขมาก เอกสารเยอะยืดหยุ่น ติดตั้งง่าย
ค่าธรรมเนียมต่อรายการมักจะต่ำกว่ามักจะสูงกว่า
ความเหมาะสมธุรกิจขนาดใหญ่ เน้นภาพลักษณ์SME เน้นความคล่องตัว

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการ Payment Gateway ในไทยทั้งสองประเภทมีจุดแข็งสำคัญคือ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า สำหรับธุรกรรมภายในประเทศ และ การรองรับช่องทางการชำระเงินที่สำคัญของไทย เช่น พร้อมเพย์และ QR Code ขณะที่ผู้ให้บริการต่างประเทศ เช่น PayPal หรือ Stripe แม้จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่า แต่ก็มีระบบที่ทันสมัย รองรับหลายสกุลเงิน และเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการขยายไปตลาดต่างประเทศ


เลือก Payment Gateway ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

Payment Gateway ไม่ได้เป็นเพียง “ช่องทางการรับเงิน” เท่านั้น แต่ยังเป็นโครงสร้างสำคัญที่ส่งผลต่อ ประสบการณ์ของลูกค้า ความปลอดภัยของธุรกรรม และภาพลักษณ์ของแบรนด์ การเลือกใช้บริการที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากขนาดธุรกิจ งบประมาณ ความต้องการด้านความปลอดภัย และแผนการเติบโตในอนาคต

  • หากธุรกิจของคุณมีขนาดใหญ่ ต้องการความมั่นคงสูง และให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ การเลือกใช้ Payment Gateway แบบ Bank อาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า
  • แต่ถ้าคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ที่ต้องการเริ่มต้นได้รวดเร็ว ลงทุนน้อย และเน้นความยืดหยุ่น Payment Gateway แบบ Non-Bank คือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ในโลกดิจิทัลที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกวัน “การชำระเงิน” ไม่ใช่เพียงขั้นตอนสุดท้ายของการขายอีกต่อไป แต่คือ หัวใจของประสบการณ์ดิจิทัล ที่จะตัดสินว่าลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำหรือไม่ และธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้เพียงใด

Scroll to Top