ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมทางการเงินของคนไทยเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด การนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น QR Code, การโอนเงินข้ามประเทศที่รวดเร็วขึ้น, รวมถึง FinTech และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets – DA) ทำให้ระบบการเงินมีโอกาสพัฒนาไปสู่ความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีเหล่านี้ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินโดยรวม ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลระบบการเงิน จึงต้องสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรม และการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
บทบาทหลักของ ธปท. ที่เกี่ยวข้องกับ FinTech
- ดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Systemic Stability)
หากมีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อชำระเงินอย่างแพร่หลาย อาจกระทบความสามารถของธนาคารกลางในการควบคุมเสถียรภาพ และก่อให้เกิด fragmentation ของระบบการชำระเงิน - กำกับระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Supervision)
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) มีบทบาทสำคัญในการรับฝากเงินและจัดสรรทุน หากเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่มีการกำกับที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิด ความเสี่ยงใหม่ ที่ส่งผลต่อผู้ฝากเงินและระบบการเงินโดยรวม - กำกับระบบการชำระเงิน (Payment System Regulation)
ธปท. ต้องมั่นใจว่าระบบการชำระเงินในประเทศมีความ มั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นรากฐานให้ธุรกรรมการเงินดิจิทัลเติบโตอย่างยั่งยืน
เหตุผลสำคัญที่ ธปท. ต้องกำกับดูแล FinTech
1. การคุ้มครองผู้ใช้บริการ (Consumer Protection)
- ป้องกันไม่ให้ ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เข้าถึงหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่เข้าใจเพียงพอ
- ยกระดับ มาตรฐานการให้บริการที่เป็นธรรม สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและผู้ลงทุน
2. การป้องกันความเสี่ยงต่อสถาบันการเงินและความเชื่อมั่น
- หากบริษัทในกลุ่ม ธพ. ที่ทำธุรกิจ DA เกิดปัญหา อาจกระทบความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน
- ป้องกันความเสี่ยงด้าน ธรรมาภิบาล ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจในกลุ่ม
- ลดพฤติกรรม “กลัวตกขบวน” (FOMO) ที่อาจทำให้สถาบันการเงินเร่งลงทุนในธุรกิจเสี่ยงโดยขาดความพร้อม
3. การจัดการความเสี่ยงจากเทคโนโลยีใหม่
- ความเสี่ยงด้าน Cybersecurity และ IT จากการใช้ AI, Blockchain, DLT
- ความเสี่ยงด้าน การฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงิน ทำให้ต้องมีกฎเกณฑ์ AML/CFT ที่เข้มงวด
แนวทางกำกับดูแลของ ธปท.: ยืดหยุ่นแต่เข้มแข็ง
ธปท. ใช้แนวทาง Resilient Regulation ที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงกับนวัตกรรม
- การส่งเสริมและผ่อนปรน
- ยกเลิก FinTech Limit เดิม (3% ของเงินกองทุน) เพื่อเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนและใช้เทคโนโลยีได้มากขึ้น
- สนับสนุน Regulatory Sandbox (รวมถึง Enhanced Regulatory Sandbox) เพื่อทดลองเทคโนโลยีใหม่ภายใต้กรอบที่ควบคุมได้
- การกำกับดูแลความเสี่ยง
- กำหนดเพดานการลงทุนธุรกิจ DA ที่ 3% ของเงินกองทุน ในระยะแรก เพื่อจำกัดความเสี่ยง
- ใช้หลัก Risk-Proportionality: ธุรกิจที่เสี่ยงมากถูกกำกับเข้มงวด ส่วนธุรกิจเสี่ยงต่ำกำกับแบบยืดหยุ่น
- สร้างแรงจูงใจ หากสถาบันการเงิน ยกระดับมาตรฐานด้านธรรมาภิบาล AML/CFT และการคุ้มครองผู้ใช้บริการ จะไม่ถูกนับเงินลงทุน DA ในเพดานที่กำหนด
สรุป
การกำกับดูแล FinTech ของ ธปท. มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบการเงินที่ มั่นคง ปลอดภัย และเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้นวัตกรรมเติบโตอย่างมีคุณภาพ การกำกับดูแลที่เหมาะสมจึงไม่ใช่การปิดกั้นนวัตกรรม แต่เป็นการวางรากฐานให้ภาคการเงินไทยปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลได้อย่าง ยั่งยืนและมั่นใจ