จากการทำงานในฐานะที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ดิจิทัล ผมมักจะเห็นผู้นำองค์กรวิ่งตามโซลูชันที่ซับซ้อน แต่บ่อยครั้งที่คำแนะนำอันลึกซึ้งที่สุดกลับมาจากหลักการที่เรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ บทความนี้ได้กลั่นกรอง 4 แนวคิดทรงพลังจากเวทีเสวนาของกลุ่มผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของไทย ซึ่งจะมอบมุมมองที่สดใหม่และนำไปปรับใช้ได้จริงให้กับธุรกิจของคุณ
บทเรียนที่ 1: การนำ AI มาใช้ต้องเริ่มจากผู้นำสูงสุด
ถ้าผู้ก่อตั้งมัวแต่รอลูกน้อง ก็ไม่มีทางนำ AI มาใช้ในธุรกิจได้สำเร็จ
คุณเจย์ (วิชญ ศโรภาส) ได้ให้มุมมองที่เฉียบคมว่า ผู้ก่อตั้งและเจ้าของธุรกิจไม่สามารถมอบหมายหน้าที่ในการริเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้กับองค์กรให้คนอื่นทำแทนได้ แต่จำเป็นต้อง “ลงมาคลุกทำเอง” เพื่อให้เข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของมัน และสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างถูกทิศทาง การลงมือทำด้วยตนเองนี้เองที่ทำให้ผู้นำสามารถนำต้นแบบบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไปเสนอให้ลูกค้าได้โดยตรง พร้อมกับถามคำถามสำคัญว่า “ผมมีเซอร์วิสแบบนี้ คุณจะสะดวกสบายขึ้นไหม” เพื่อเก็บข้อมูลจริงมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้ง
“ถ้าคุณไม่ทำนะ คุณมัวแต่รอลูกน้องนะครับ คุณไม่มีทางที่จะสำเร็จในการ adapt AI เข้ามาในธุรกิจคุณเลยนะ ผมบอกเลยนะ”
แนวทางนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา แต่คือการเปลี่ยนทิศทางและโมเดลการให้บริการของธุรกิจโดยอาศัยประสบการณ์ตรงของผู้นำเป็นหัวใจสำคัญ
บทเรียนที่ 2: “เครดิต” สินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้
จงสร้างเครดิต เพราะมันประเมินค่าไม่ได้ ถ้าต้องเลือกระหว่างเงินกับเครดิต ให้เลือกเครดิตก่อนเสมอ
คุณหลง (มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม) ได้เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญสูงสุดของการทำธุรกิจ นั่นคือ “เครดิต” ในที่นี้หมายถึงชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องปกป้องและให้ความสำคัญเหนือผลประโยชน์ทางการเงินในระยะสั้น
จงรักษาเครดิตเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างเงินกับเครดิต ให้เลือกเครดิตนะครับ… ถ้ามีข้าวกินจงเลือกเครดิตนะครับ
ขณะที่เงินเป็นเพียงเครื่องมือในการทำธุรกรรม แต่เครดิตคือสินทรัพย์ระยะยาวที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า คู่ค้า หรือแม้กระทั่งอดีตพนักงาน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนกว่า
บทเรียนที่ 3: พลังของการมีโฟกัสที่ชัดเจน
คุณต้องโฟกัสว่ากำลังทำอะไร และจะไปที่ไหน
หนึ่งในคำแนะนำที่สำคัญคือการเตือนสติผู้ประกอบการถึงอันตรายของการวิ่งตามกระแสใหม่ๆ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Metaverse หรือเทรนด์อื่นๆ โดยชี้ให้เห็นว่าธุรกิจจำเป็นต้องกลับมาทบทวนคำถามพื้นฐานที่สุดก่อนว่า “เรากำลังทำอะไร” และ “เราจะไปที่ไหน” คุณบอล (ฐานุตม์ คัมภีระสุตร์) ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวที่เคย “หลงทาง” เพราะพยายามกระโดดเข้าไปในทุกเทรนด์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพ
ต้องโฟกัสสิ่งที่เราทำก่อน ว่าเราทำอะไร แล้วเราจะไปไหน?
คำแนะนำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพและ SME ที่มีทรัพยากรจำกัด การขาดซึ่งโฟกัสที่ชัดเจนอาจนำไปสู่การสูญเสียทั้งเวลาและเงินทุน และอาจเป็นสาเหตุของความล้มเหลวได้ในที่สุด
บทเรียนที่ 4: อย่ามองข้ามความปลอดภัยทางไซเบอร์
เมื่อใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล อย่าลืมเรื่องกฎระเบียบและความปลอดภัย
คุณเคน (เอกฤทธิ์ ธรรมสถิต) ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ให้ข้อคิดว่าธุรกิจส่วนใหญ่มักปฏิบัติต่อความปลอดภัยไซเบอร์เหมือนการไปห้องฉุกเฉิน คือรอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยมาหาทางแก้ เขาเปรียบตัวเองว่า “ผมเหมือนหมออ่ะ เวลาใครมาก็คือมีปัญหาแล้ว” แต่ในความเป็นจริง ความปลอดภัยและข้อบังคับต่างๆ (Compliance) ควรถูกปฏิบัติเหมือนการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน คือต้องถูกผนวกรวมเข้าไปในกระบวนการตั้งแต่แรกเริ่ม หรือที่เรียกว่า “Security by Design”
เวลาใช้ digital platform มันมีภาพของ compliant มีภาพของความปลอดภัยของระบบอยู่กับมัน “อย่าลืม”คิดถึงมัน
คุณเคนย้ำว่าผู้นำองค์กรต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมเทคนิคเพียงอย่างเดียว เพราะความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น Ransomware นั้นร้ายแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้ ต่อให้ “จ่ายเท่าไหร่แล้วก็กู้ให้เขาไม่ได้” ดังนั้น ความปลอดภัยจึงไม่ใช่ต้นทุนที่น่าเบื่อ แต่เป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างความไว้วางใจของลูกค้าและความยืดหยุ่นของธุรกิจในโลกดิจิทัล
บทสรุป
บทเรียนทั้งสี่ข้อนี้สะท้อนให้เห็นถึงแก่นของการทำธุรกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่การเป็นผู้นำที่ลงมือทำจริงในการนำเทคโนโลยีมาใช้, การยึดมั่นในคุณค่าของเครดิตและความน่าเชื่อถือในระยะยาว, การมีวินัยและโฟกัสที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองทรัพยากร ไปจนถึงการสร้างความปลอดภัยให้เป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น
จาก 4 แนวคิดนี้ มีข้อไหนที่ทำให้คุณต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจของคุณใหม่บ้าง?
